วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2561

การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและระบบสืบพันธุ์


การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและระบบสืบพันธุ์









 มวนเป็นแมลงที่พบทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย เมื่อโตเต็มวัยจะผสมพันธุ์และวางไข่ ซึ่งไข่จะฟักเป็นตัวใหม่ต่อไป การสืบพันธุ์เป็นสมบัติของสิ่งมีชีวิตทั่วไป เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ไม่ให้สูญพันธุ์ไปตามการเวลา
               นักเรียนเคยสงสัยหรือไม่ว่าสัตว์แต่ละชนิดมีการสืบพันธุ์เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีทั้งพ่อและแม่เหมือนมนุษย์ เหตุใดเราจึงไม่เคยเห็นผู้ชาย หรือสัตว์เพศผู้ตั้งท้อง และเมื่อคลอดออกมาสัตว์เหล่านั้นสามารถเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยและเข้าสู่วัยชราได้อย่างไร นักเรียนจะได้ศึกษาในบทต่อไปนี้
        การสืบพันธุ์ 
        นักเรียนได้ทราบมาแล้วว่าสิ่งมีชีวิตแตกต่างจากสิ่งไม่มีชีวิต คือ มีความสารถในการให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตใหม่จากสิ่งมีชีวิตเดิมซึ่งเป็นสมบัติสำคัญของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงพันธุ์ให้คงไว้ได้ การสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดแตกต่างกันออกไป นักเรียนจะได้ศึกษาจากหัวข้อต่อไปนี้
         คำถามนำ 
ถ้าสัตว์มีชีวิตไม่มีการสืบพันธุ์จะเกิดผลอย่างไร สิ่งมีชีวิตมีการสืบพันธุ์แตกต่างกันอย่างไร
         การสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว 
         สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวมีการสืบพันธุ์แบบทั้งอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศส่วนใหญ่เป็น การแบ่งเซลล์เป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน  (binary fission) เช่น อะมีบา พารามีเซียมสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิดสืบพันธุ์โดย การแตกหน่อ  (budding)เช่น ยีสต์ ดังภาพที่ 11-1
ภาพที่ 11-1 การแบ่งเซลล์เป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน ก.อะมีบา ข. พารามีเซียม ค. การแตกหน่อของยีสต์ 

                 บางครั้งสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวก็มีพฤติกรรมการสืบพันธุ์คล้ายการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เช่น พารามีเซียม เซลล์มี 2 นิวเคลียสคือ ไมโครนิวเคลียส(micronycleus) และ แมโครนิวเคลียส  (macronucleus) พารามีเซียม 2 เซลล์จะมาจับคู่กัน  (conjugation)เพื่อแรกเปลี่ยนสารพันธุกรรม จากนั้นจึงแยกกันและแบ่งเซลล์เพิ่มจะนวนตามปกติ
             -การสืบพันธุ์แบบแบ่งเซลล์เป็น 2 ส่วนเท่าๆ กันต่างจากการแตกหน่ออย่างไร
              การสืบพันธุ์ของสัตว์ 
              การสืบพันธุ์ของสัตว์มีทั้งการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ การสืบพันธุ์แบบมาอาศัยเพศในสัตว์ที่มีโครงสร้างของร่างกายไม่ซับซ้อนและมีความสามารถในการงอกใหม่ เช่น พลานาเรีย ดาวทะเล สัตว์พวกนี้สามารถสืบพันธุ์ด้วยวิธีการงอกใหม่ซึ่งเกิดขึ้นโดยส่วนของร่างกายที่ขาดออกไปหรือสูญเสียไปด้วยสาเหตุใดก็ตามสามารถเจริญเติบโตเป็นตังใหม่ได้ ทำให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น
            สัตว์หลายชนิด เช่น ฟองน้ำ และไฮดรา สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตตัวใหม่จากเซลล์ หรือกลุ่มเซลล์ของตัวเดิม เรียกว่า หน่อซึ่งเจริญจนกระทั่งได้เป็นสิ่งมีชีวิตตัวใหม่ที่เหมือนตัวเดิม แต่มีขนาดเล็กกว่า ต่อมาหน่อจะหลุดออกมาจากตัวเดิมแล้วเจริญเติบโตต่อไป 
           -มีสัตว์ชนิดใดอีกบ้างที่มารถสืบพันธุ์ด้วยวิธีการงอกใหม่
           -เพราะเหตุใดสิ่งมีชีวิตตัวใหม่ที่เกิดจากการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศจึงมีลักษณะรูปร่างและสารพันธุกรรมเหมือนกับสิ่งมีชีวิตตัวเดิมทุกประการ
ภาพที่ 11-2 การแตกหน่อของไฮดรา

             นักเรียนได้ทราบมาแล้วว่าการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเกิดจากการปฏิสนธิ (fertilization) ของเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้หรืออสุจิกับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียหรือเซลล์ไข่ ซึ่งอาจจะเกิดภายในหรือภายนอกร่างกายของสัตว์เพศเมียก็ได้ เซลล์ไข่ที่ได้รับการผสมแล้วเรียกว่าไซโกต จะเจริญเติบโตเป็นเอ็มบริโอและตัวเต็มวัยที่สามรถสืบพันธุ์เพิ่มจำนวนประชากรต่อไปได้
            สัตว์ส่วนใหญ่มีอวัยวะเพศแยกกันอยู่คนละตัวเป็นสัตว์เพศผู้และเพศเมีย แต่มีสัตว์บางชนิดที่มีอวัยวะเพศทั้งสองเพซอยู่ในตัวเดียวกัน เรียกว่า กะเทยhermaphrodite) เช่น ไฮดราพลานาเรีย ไส้เดือนดิน เป็นต้น
           พลานาเรีย เป็นสัตว์ที่มีอวัยวะเพศทั้งสองเพศอยู่ในตัวเดียวกัน ดังภาพที่ 11-3 แต่การปฏิสนธิจะเป็นการผสมข้ามตัวโดยพลานาเรียจะจับคู่แล้วแลกเปลี่ยนอสุจิกัน อสุจิจะเคลื่อนไปตามท่อนำไข่แล้วเกิดการปฏิสนธิกับเซลล์ไข่ในท่อนำไข่

ภาพที่ 11-3 ระบบสืบพันธุ์ของพลานาเรีย

                การผสมพันธุ์ของ ไส้เดือนดิน จะเกิดข้นโดยไส้เดือนดิน 2 ตัวจะมาจับคู่สลับหัวสลับหางกัน ดังภาพที่ 11-4 ช่องรับอสุจิของตัวหนึ่งจะแนบกับถุงเก็บอสุจิของอีกตัวหนึ่ง อสุจิจากอวัยวะสืบพันธุ์ของแต่ละตัวจะถูกส่งไปยังช่องรับอสุจิของอีกฝ่ายหนึ่ง จากนั้นจะถูกนำไปเก็บไว้ที่ถุงเก็บอสุจิ แล้วไส้เดือนดินก็จะแยกออกจากกัน ต่อมา 2-3 วันไส้เดือนดินจะสร้างถุงหุ้มเซลล์ไข่ขึ้นและปล่อยเซลล์ไข่ออกมาที่ถุงหุ้มเซลล์ไข่ หลังจากนั้นไส้เดือนดินจะเคลื่อนถอยหลังให้ถุงหุ้มเซลล์ไข่เคลื่อนไปข้างหน้าเพื่อไปรับอสุจิที่ถุงเก็บอสุจิถุงหุ้มเซลล์ไข่จะถูกปล่อยไว้ตามพื้นดิน เซลล์ไข่ที่ผสมกับอสุจิจะฟักอยู่ในถุงหุ้มเซลล์ไข่และเจริญเป็นตัวในระยะต่อมา

ภาพที่ 11-4 การผสมพันธุ์ของไส้เดือนดิน 
              รู้หรือเปล่า 
              ทำไมผึ้งเพศผู้ผสมพันธุ์แล้วจะตายผึ้งเป็นแมลงที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคม ผึ่งหนึ่งรังจะมีเพศเมียตัวเดียวที่สามารถวางไข่ได้นั้นก็คือผึ้งนางพญา เมื่อผึ้งเพศผู้ผสมพันธุ์ และหลั่งอสุจิแล้วก็จะตาย เนื่องจากองคชาตยังติอยู่กับเพศเมียและดึงให้อวัยวะภายในของเพศผู้ฉีกขาดและตายในที่สุด สัตว์สังคมจำพวกมด ผึ้ง ปลวก ต่อ แตน สามารถเจริญเป็นตัวเต็มวัยได้ โดยที่เซลล์ไข่ไม่ต้องได้รับการผสมกับอสุจิ เรียก กระบวนการนี้ว่าพาร์ทิโนเจนซิส (partheogrnesis) ทำให้สัตว์เหล่านี้เป็นเพศผู้ และมีโครโมโซซมเป็นครึ่งหนึ่งของเพศเมีย
               แมลง เป็นสัตว์แยกเพศ มีการปฏิสนธิภายใน โดยแมลงเพเศผู้จะผลิตอสุจิจากอัณฑะออกมาเก็บไว้ที่ถุงอสุจิ เมื่อมีการผสมพันธุ์กับแมลงเพศเมียจะมีการหลั่งอสุจิออกทาง องคชาต (penis)เข้าสู่ระบบสืบพันธุ์ของเพศเมีย อสุจิที่หลั่งออกมาจะผ่าน ช่องคลอด  (vagina) ของเพศเมีย ไปผสมกับเซลล์ไข่ที่ผลิตจาก รังไข่ (ovary)ตรงบริเวณ ท่อนำไข่ (ovidoct) แมลงเพศเมียบางชนิดจะมี สเปอร์มาทีกา (spermatheca) เพื่อเก็บสะสมอสุจิไวผสมกับเซลล์ไข่เมื่อเซลล์ไข่เจริญเต็มที่พร้อมกับการผสมพันธุ์ ดังภาพที่ 11-5

  ภาพที่ 11-5 ระบบสืบพันธุ์ของผึ้ง ก. ผึ้งเพศผู้ ข. ผึ้งเพศเมีย

          กิจกรรมที่ 11.1 การสืบพันธุ์ของสัตว์ 
          1.ให้นักเรียนศึกษากระบวนการสืบพันธุ์ของสัตว์มีกระดูกสันหลังที่นักเรียนสนใจโดยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้
                       -จำนวนลูกที่เกิดในแต่ละรุ่น
                       -วัฏจักรชีวิตของสัตว์
                       -โครงสร้างของระบบสืบพันธุ์
                       -อายุขัยของสิ่งมีชีวิต และช่วยอายุที่เป็นวัยเจริญพันธุ์
                      -พฤติกรรมเลือดคู่
                      -ข้อดีและข้อเสียของรูปแบบการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
          2.นำเสนอข้อมูลในชั้นเรียน และเปรียบเทียบกับการสืบพันธุ์ของสัตว์ชนิดอื่นๆพร้อมทั้งนำข้อมูลที่ได้ไปจัดป้ายมิเทศ
             จากกิจกรรมที่ 11.1 จะเห็นว่าสัตว์มีกระดูกสันหลังจะมีอวัยวะเพศแยกกันอยู่คนละตัว สัตว์มีกระดูกสันหลังที่อาศัยเพศอยู่ในน้ำเช่น ปลา ส่วนใหญ่เมื่อสร้างเซลล์ไข่และอสุจิแล้วจะส่งออกมาทางท่อสืบพันธุ์มาผสมนอกลำตัว สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกมีวิวัฒนาการที่จะข้นมาอาศัยอยู่บนบก แต่ยังต้องผสมพันธุ์ในน้ำ และวางไข่ในน้ำหรือในที่ชื้นแชะ มีการผสมนอกลำตัว เพราะเพศยังไม่มีอวัยวะที่จะถ่ายอสุจิไปให้เพศเมีย ส่วนสัตว์เลื่อนคลานและนกเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการขึ้นมาอยู่บนบก การปฏิสนธิไม่จำเป็นต้องอาศัยน้ำเพราะมีการพัฒนาอวัยวะที่จะถ่ายอสุจิให้เพศเมีย จึงมีการปฏิสนธิภายในลำตัวและวางไข่บนบก ไข่มีการห่อหุ้มเพื่อป้องกันเอ็มบริโอและภายในไข่ยังมีของเหลวล้อมลอบเอ็มบริโออยู่ด้วย
           -สัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายในและภายนอก มีการดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
           -เมื่อเปรียบเทียบสัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายในกับสัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายนอก จำนวนการวางไข่หรือตกไข่มีจำนวนแตกต่างกันอย่างไร เพราะเหตุใด
        การสืบพันธุ์ของคน 
        การสืบพันธุ์ของคนก็เหมือนกับสัตว์มีกระดูกสันหลังอื่นๆคือ มีการรวมตัวของอสุจิกับเซลล์ไข่ในร่างกายของเพศหญิงเกิดเป็ยไซโกต จากนั้นไซโกตจึงเริ่มแบ่งเซลล์และเจริญเติบโตเป็นเอ็มบริโอ เอ็มบริโอที่มีอายุเข้าสู่เดือนที่ 3 ของการตั้งครรภ์ เรียกว่า ฟีตัส  (fetus) และเมื่อครบ 9 เดือนจะคลอดออกมาเป็นทารก นักเรียนทราบหรือไม่ว่าระบบสืบพันธุ์เพศชายและระบบสืบพันธุ์เพศหญิงมรการสร้างเซลล์อสุจิและเซลล์ไข่อย่างไรโครงสร้างระบบสืบพันธุ์เพศชาย 

ภาพที่ 11-6 ระบบสืบพันธุ์เพศชาย 
        
             ระบบสืบพันธุ์ของเพศชายประกอบด้วยอวัยวะหลายอย่างที่ทำงานสัมพันธ์กัน ได้แก่
              อัณฑะ ห่อหุ้มด้วย ถุงอัณฑะ (scrotum) อยู่นอกช่องท้องมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิปกติของร่างกายประมาณ 3 องศาเซลเซียสซึ่งเหมาะสมกับการเจริญอสุจิ อัณฑะมีหน้าที่สร่างอสุจิและฮอร์โมนเพศชาย
             -คนที่อัณฑะไม่เคลื่อนลงมาอยู่ในถุงอัณฑะทั้ง 2 ข้าง กับคนที่มีอัณฑะเคลื่อนลงมาในถุงอัณฑะเพียงข้าง  เดียวจะมีผลอย่างไร
         รู้หรือเปล่า 
ในเพศชายเมื่ออย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม สเปอร์มาโทโกเนียมแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนได้ตลอดวัยเจริญพันธุ์  ส่วนหนึ่งของสเปอร์มาโทโกเนียมนี้เจริญเปลี่ยนแปลงเป้นอสุจิ ดังนั้นเพศชายจึงสามารถสร้างอสุจิได้ตลอดอายุ ถ้าร่างกายยังสมบูรณ์
              ภายในอัณฑะประกอบด้วย หลอดสร้างอสุจิ (swminiferoustubule) ซึ่งเป็นท่อยาวขดไปมา ดังภาพที่ 11-7 ภายในหลอดนี้จะมี กระบวนการสร้างอสุจิ  (spermatogenesis) โดยมีเซลล์กลุ่มหนึ่งที่บริเวณผนังหลอด เรียกว่า สเปอร์มาโทโกเนียม  (spermatogonium)เป็น เซลล์ดิพลอยด์ (2n)
              เมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่มเซลล์สเปอร์มาโทโกเนียม จะมีการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสทำให่ได้สเปอร์มาโทโกเนียมจำนวนมากสเปอร์มาโทโกเนียมบางเซลล์จะพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเรียกว่า สเปอร์มาโทไซต์ระยะแรก (primary spermatosyte) เป็นเซลล์ดิพลอยด์ สเปอมาโทไซด์ระยะแรก 1 เซลล์จะมีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส ครั้งที่ 1 ได้เป็น สเปอร์มาโทไซต์ระยะที่สอง  (secondary spermatocyte) 2 เซลล์เป็นเซลล์แฮพลอยด์ (n) และเมื่อแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสครั้งที่ 2 จะได้ สเปอร์มาทิด (spermatid)4 เซลล์ สเปอร์มาทิดเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงและเจริญเป็นอสุจิ โดยสลัดไซโทพลาซึมส่วนใหญ่ทิ้งไป ส่วนหัวเป็นที่อยู่ของนัวเคลียส ส่วนปลายสุดของส่วนหัวมี ถุงอะโครโซม  (acrosomalcap) ภายในมีเอนไซม์สำหรับเจาะเยื่อหุ้มเซลล์ไข่เพื่อการปฏิสนธิส่วนลำตัวมีออร์แกแนลล์ที่สำคัญ คือ ไมโทคอนเดรีย และส่วนหางคือ แฟลเจลลัมซึ่งช่วยในการเคลื่อนที่ดังภาพที่ 11-7

ภาพที่ 11-7 กระบวนการสร้างอสุจิ

             -สเปอร์ไมโทไซด์ระยะแรก และสเปอร์มาโทไซด์ระยะที่สองของคนมีจำนวนโครโมโซมแตกต่างกันหรือมาช่อย่างไร
             -ถ้ามีสเปอร์มาโทโซต์ระยะแรกจำนวน 400 เซลล์จะสร้างอสุจิได้กี่เซลล์
             -เพราะเหตุใด ในกระบวนการสร้างอสุจิจึงต้องมีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
              เชื่องโยงกับฟิสิกส์ 
การที่อสุจิมีหัวกลมหรือรีและมีหางที่ช่วยในการโบกพัดได้มีความเหมาะสมกับหน้าที่ของอสุจิ คือ ทำให้อสุจิเคลื่อนที่ในของเหลวได้ดี
           อสุจิที่สร้างขึ้นจากหลอดสร้างอสุจิจะเคลื่อนที่มายังหลอดเก็บอสุจิ (apididymis) และพัฒนาต่อจนเจริญเต็มที่ ต่อจากนั้นอสุจิจะเคลื่อนต่อไปยัง หลอกนำอสุจิ  (vas deferens) ซึ่งวกขึ้นไปเหนือขอบกระดูกเชิงกรานและมีปลายเปิดเข้าสู่ ท่อปัสสาวะ  (urethra)
       
             ระหว่างทางเดินของอสุจิจะมีต่อมสร้างสารหลายต่อมแต่ละต่อมจะผลิตของเหลวไปรวมกับอสุจิ เรียกว่า น้ำอสุจิ  (semen) ซึ่งจะถูกหลั่งออกทางปลายเปิดของท่อปัสสาวะที่ปลายองคชาด ต่อมเหล่านี้ ได้แก่ ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ (seminal vasicle) ซึ่งทำหน้าที่หลั่งของเหลวมีสีเหลืองอ่อนประกอบด้วยเมือก กรดอะมิโนและน้ำตาบฟรักโทสซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของอสุจิ ต่อมลูกหมาก  (prostate gland) หลั่งของเหลวที่มีสมบัติเป็นเบส เพื่อทำให้ช่องคลอดของเพศหญิงซึ่งมีสภาพเป็นกรดเปลี่ยนสภาพเป็นกลาง เมื่ออสุจิเข้าสู่ช่องคลอดก็จะสามารถเคลื่อนที่และมีชีวิตรอดได้ ส่วน ต่อมคาวเปอร์  (Cowper’s gland) ทำหน้าที่หลั่งของเหลวเพื่อหล่อลื่นท่อปัสสาวะโดยเฉลี่ยแล้วผู้ชายจะหลั่งน้ำอสุจิครั้งละประมาณ 3 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีอสุจิประมาณ 300-500 ล้านตัว
         
   โครงสร้างระบบสืบพันธุ์เพศหญิง 
           ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงประกอบด้วย รังไข่อยู่ทางด้านล่างของช่องท้องลึกเข้าไปในอุ้งเชิงกรานอยู่ 2 ข้างของมดลูก รังไข่มีหน้าที่ผลิตเซลล์ไข่และฮอร์โมนเพศหญิง มดลูกอยู่ด้านหลังของกระเพาะปัสสาวะ มดลูกตอนล่างที่ติดต่อกับช่องคลอดจะแคบเข้าหากันเป็นปากมดลูก (cervix)
ภาพที่ 11-8 ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง 
  
                    รู้หรือเปล่า 
             ในผู้หญิงจะมีโอโอไซต์ระยะแรกอยู่ในรังไขตั้งแต่เกิดประมาณ 400,000เซลล์ โอโอไซต์ระยะแรกนี้จะคงอยู่ในสภาพเดิมจนกระทั้งเข้าสู้วัยสาว โอโอไซต์ระยะแรกจะมีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสเมื่ออสุจิเจาะที่ผิวเซลล์ได้ก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ไข่  รังไข่แต่ละข้างมีการตกไข่ไม่พร้อมกัน เมื่อเซลล์ไข่ตกจากรังไข่ข้างหนึ่งแล้ว ครั้งต่อไปนี้การตกไข่จากรังไข่อีกข้างหนึ่งสลับกับไป ปกติจะมีเซลล์ไข่ตกครั้งละ 1 เซลล์
           ภายในรังไข่จะมี กระบวนการสร้างเซลล์ไข่ (oogenesis) โดยเริ่มขณะที่เป็นทารกในครรภ์จะมี  เซลล์โอโอโกเนียม (oogonium)เป็นเซลล์ดิพลอยด์ ซี่งสามารถแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส ทำให้ได้เซลล์โอโอโกเนียมจำนวนมาก แต่เมื่อทารกคลอดออกมา โอโอโกเนียมจะพัฒนาเป็น  โอโอไซต์ระยะแรก (primary oocyte)ซึ่งเป็นเซลล์ดิพลอยด์โอโอไซต์ระยะแรกแต่ละเซลล์จะถูกล้อมรอบด้วย เซลล์ฟอลลิเคิล  (follicular cell)เรียกรวมกันว่า ฟอลลิเคิล (follicle)
              เมื่อเข้าสู่วัยสาวในแต่ละรอบเดือนโอโอไซต์ระยะแรกบางเซลล์จะถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมน FSH จากต่อมใต้สมองทำให้เริ่มแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสครั้งที่ 1 ได้เป็น  โอโอไซต์ระยะที่สอง (secondary oocyte) 1 เซลล์และ โพลาร์บอดี  (poler body) ซึ่งเป็นเซลล์ขนาดเล็ก 1 เซลล์ การพัฒนาของเซลล์ไข่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของรังไข่และฟอลลิเคิล เมื่อฟอลลิเคิลเจริญเติบโตเต็มที่จะมีการผลิตฮอร์โมนอีสโทรเจนไปกระต้นต่อมใต้สมองให้หลั่งฮอร์โมน LH มากระตุ้นให้ผนังฟอลลิเคิลแตกออกพร้อมกับปล่อยโอโอไซต์ระยะที่สองเข้าสู่ท่อนำไข่ เรียกว่า การตกไข่  (ovulation)ส่วนฟอลลิเคิลเดิมก็จะกลายเป็นเนื้อเยื่อสีเหลืองเรียกว่า  คอร์ปัสลูเทียม  (corpus luteum) ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน ดังที่นักเรียนได้เรียนมาแล้ว
ภาพที่ 11-9 การสร้างเซลล์ไข่ และการเปลี่ยนแปลงภายในรังไข่ 
     
                 เชื่องโยงกับคณิตศาสตร์ 
             โดยปกติผู้หญิงในช่วงวัยเจริญพันธุ์ จะสร้างเซลล์ไข่ได้ครั้งละ 1 เซลล์ต่อเดือน ถ้าผู้หญิงเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกเมื่ออายุ 12 ปีและหมดประจำเดือนเมื่ออายุ 50 ปี ผู้หญิงจะสร้างเซลล์ไข่และตกไข่ทั้งหมดประมาณกี่เซลล์
                 การปฏิสนธิ 
            เซลล์ไข่ที่อยู่ในระยะโอโอไซต์ระยะที่สองจะหลุดออกจากฟอลลิเคิลเข้าสู่ท่อนำไข่ทางปลายเปิดซึ่งมีลักษณะคล้ายปากแตรโดยอาศัยการพัดโบกของซิเลียที่เซลล์เยื่อบุผิวของท่อนำไข่
           ถ้าโอโอไชต์ระยะที่สองที่อยู่ในท่อนำไข่ได้รับการกระตุ้นโดยการเจาะอสุจิที่ผิวเซลล์ โอโอไซต์ระยะที่สองจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสครั้งที่ 2 ได้เป็นเซลล์ไข่ 1 เซลล์ และโพลาร์บอดี1 เซลล์ เซลล์ที่ได้นี้ก็ต่างเป็นเซลล์แฮพลอยด์ จากนั้นจึงมีการรวมตัวระหว่างนิวเคลียสของอสุจิกับนิวเคลียสของเซลล์ไข่เกิดเป็นไซต์โกตซึ่งจะมีการแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนและเคลื่อนที่ไปฝังตัวที่ผนังมดลูกดังภาพที่ 11-11 ถ้าเซลล์ไข่ไม่ได้รับการผสมภายใน 24 ชั่งโมงเซลล์ไข่ก็จะสลายตัว
           -ผู้หญิงมีเซลล์โอโอไซต์ระยะแรก 400,000 เซลล์ควรจะสร้างเซลล์ไข่ได้กี่เซลล์ และโอโอไซต์ระยะแรกจะมีสารพันธุกรรมเหมือนกันหรือไม่ เพราะเหตุ ใด
           -ปกติผู้หญิงจะสร้างเซลล์ไข่ได้เดือนละ 1 เซลล์ ตั้งแต่เริ่มวัยสาวจนถึงระยะหมดประจำเดือน นักเรียนคิดว่าโอโอไซต์ระยะแรกที่เหลือหายไปไหน
           -เซลล์สืบพันธุ์ของเพศหญิงของเพศชายเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร และจำนวนเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิงกับเพศชายที่สร้างในแต่ละครั้งมีจำนวนแตกต่างกันอย่างไร เพราะเหตุใด
             
       กิจกรรมที่ 11.2 โครงสร้างภายในรังไข่และอัณฑะของหนู 
           วัสดุอุปกรณ์ 
          1.กล้องจุลทรรศน์
          2.สไลด์ถาวรภาคตัดขวางของรังไข่และอัณฑะของหนู
          วิธีการทดลอง
          1.นำสไลด์ถาวรภาคตัดขวางรังไข่และอัณฑะของหนูมาส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
          2.บันทึกผลภาพ สังเกตการพัฒนาและระบุชื่อส่วนประกอบต่างๆที่สำคัญของรังไขและอัณฑะ
             -บริเวณที่พบสเปอร์มาโทโกเนียมและอสุจิต่างกันหรือไม่ อย่างไร
             -จะทราบได้อย่างไรว่าเซลล์ใดเป็นเซลล์ไข่ที่สมบูรณ์พร้อมจะตกไข่
       
      การตั้งครรภ์ 
         ผนังมดลูกประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น เอนโดมีเทรียม(endomwtrium) เป็นเนื้อเยื่อชั้นในที่มีความสำคัญมาก มีลักษณะคล้ายฟองน้ำและมีหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยง ระหว่างตั้งครรภ์เนื้อเยื่อชั้นนี้จะพัฒนาร่วมกับเนื้อเยื่อของเอ็มบริโอแล้วเจริญไปเป็นรกเพื่อเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนแก็สและส่งอาหารให้เอ็มบริโอเนื้อเยื่อถัดออกมา เป็นชั้นกล้ามเนื้อทำหน้าที่บีบตัวในระหว่างการคลอด นอกจากนี้ยังมีเนื้อเยื่อบางๆ หุ้มชั้นกล้ามเนื้อเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง หากเซลล์ไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียมในส่วนที่เจริญสำหรับการเตรียมพร้อมรับการฝังตัวของเอ็มบริโอจะสลายหลุดออกเป็นประจำเดือน

ภาพที่ 11-10 ผนังของมดลูก 
             เมื่อนิวเคลียสของเซลล์ไข่รวมตัวกับนิวเคลียสของอสุจิที่บริเวณท่อนำไข่จะได้ไซโกต จากนั้นไซโกตจะเริ่มแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์จนได้เป็นเอ็มบริโอและเคลื่อนที่ไปฝังตัวอยู่ที่ผนังมดลูกขณะเดียวกันคอร์ปัสลูเทียมจะสร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน ซึ่งจะทำงานร่วมกันกับฮอร์โมนอีสโทรเจนที่สร้างขึ้นจากฟอลลิเคิล(อีสโทรเจนสร้างจากคอร์ปัสลูเทียมเช่นกันแต่มีปริมาณน้อย)ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผนังมดลูกชั้นในให้หนาขึ้น และมีหลอดเลือดฝอยมากขึ้นพร้อมกับการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอต่อไปจนเป็นทารก
 ภาพที่ 11-11 การปฏิสนธิและการเคลื่อนที่ของเอ็มบริโอไปฝังตัวที่ผนังมดลูก

                  รู้หรือเปล่า 
                เพราะเหตุ อสุจิเพียง 1เซลล์เท่านั้นที่จะเข้าผสมกับเซลล์ไข่ 1 เซลล์  เมื่ออสุจิเซลล์แรกเคลื่อนที่ไปถึงเยื่อหุ้นเซลล์ไข่ ซึ่งมีสารหุ้มเซลล์ไข่ที่สร้างมาจากเซลล์ฟอลลิเคิลห่อหุ่มป้องกันอันตรายให้แก่เซลล์ไข่ อสุจิจะปล่อยแอนไซม์จากถุงอะโครโซมมาย่อยสารหุ้มเซลล์ไข่แล้วเคลื่อนที่ต่อไปจนถึงเยื่อหุ้มเซลล์ไข่ ซึ่งมี 2ชั้นชั้นนอกเรียกว่า เยื่อวิเทลลีน(vitelline membrane) ชั้นในคือ เยื่อหุ้มเซลล์ไข่ปล่อยสารออกมาแทรกอยู่ระหว่างเยื่อ 2 ชั้นทำให้เยื่อวิเทลลีนแยกห่างจากเยื่อหุ้มเซลล์มากขึ้นและเกิดเป็น fertilization membrane กั้นไม่ให้อสุจิเซลล์อื่นๆ เข้าไปผสมกับเซลล์ไข่
       
     
                            -นักเรียนคิดว่ามีโอกาสที่อสุจิจะเข้าผสมกับเซลล์ไข่ได้มากกว่า 1 เซลล์หรือไม่ เพราะเหตุใด
                ภาวการณ์มีบุตรยาก 
              โดยทั่วไปหากระบบสืบพันธุ์ไม่มีความผิดปกติใดๆ อสุจิและเซลล์ไข่ก็จะรวมกันเกิดการปฏิสนธิได้ไซโกต แล้วเจริญเติบโตต่อจนกระทั่งเป็นทารก แต่ในความเป็นจริงพบว่ามีคู่แต่งงานหลายคู่ที่ไม่สามรถมีบุตรได้ ซึ่งอาจมีสาเหตุจากความผิดปกติของเพศชายและเพศหญิงดังนี้
                ความผิดปกติของชาย
   1. ความผิดปกติที่อสุจิหรือจำนวนอสุจิ เช่น การมีอสุจิที่ผิดปกติ จำนวนอสุจิน้อย ไม่มีอสุจิ หรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของอสุจิ โดยปกติการหลั่งน้ำอสุจิแต่ละครั้งจะได้น้ำอสุจิประมาณ 3 ลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งจะมีอสุจิประมาณ300 – 500 ล้านเซลล์ ถ้าในน้ำอสุจิมีอสุจิน้อยกว่า 30 ล้านเซลล์ต่อลูกบาศก์เซนติเมตร หรือมีอสุจิที่มีรูปร่างผิดปกติมากอาจจะทำให้มีบุตรได้ยาก
  2. ความผิดปกติเกี่ยวกับทางผ่านของอสุจิ เช่น ท่อทางผ่านของอสุจิตีบตันทำให้อสุจิไม่สามารถออกสู่ภายนอกร่างกายได้
  3. ความผิดปกติในน้ำอสุจิ เช่น ความเป็นกรด – เบสของน้ำอสุจิผิดปกติ การขาดน้ำตาลฟรักโทสหรือมีการติดเชื้อทำให้อสุจิตาย
           
       ความผิดปกติของหญิง 
  1  มีอวัยวะเพศพิการมาตั้งแต่กำเนิด เช่น ไม่มีช่อคลอด
  2.  ช่อคลอดหรือท่อน้ำไข่ตีบตัน มีผนังกั้น หรือมีก้อนเนื้องอก หรือเป็นแผล
  3.  เกิดการอักเสบนอกจากติดเชื้อ เช่น พยาธิ รา แบคทีเรียไวรัส เป็นต้น ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงของภาวะกรด   – เบสของช่องคลอด หรือปากมดลูกทำให้อสุจิตายได้
  4.  เยื่อบุผนังมดลูกผิดปกติ หรือเกิดเนื้องอกที่กล้ามเนื้อผนังมดลูกทำให้เกิดการแท้ง
 5. การขาดฮอร์โมนโดยเฉพาะโพรเจสเทอโรน ทำให้เยื่อบุผนังมดลูกเจริญเติบโตผิดปกติไม่เหมาะที่จะให้เอ็มบริโอฝังตัว
     
          วิธีการรักษาภาวะมีบุตรยาก 
        นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามช่วยเหลือคู่สามีภรรยาที่ต้องการจะมีบุตร ด้วยการศึกษาทดลองโดยใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า วิธีการหนึ่งที่ประสบความสำเร็จก็คือ การสร้างทารกในหลอดแก้ว (in vitrofertilization:IVF) จากการนำเซลล์ไข่ที่สุกเต็มที่ของแม่มาผสมกับอสุจิของพ่อในหลอดทดลองเพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ หลังจากปฏิสนธิแล้วจะเลี้ยงเอ็มบริโอในน้ำยา และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมระยะหนึ่งก่อนที่จะนำเอ็มบริโอเข้าสู่มดลูกเพื่อให้ฝังตัวและเจริญเติบโตตามธรรมชาติต่อไป ปัจจุบันการผสมเทียมในหลอดแก้วก้าวหน้ามากขึ้นถึงขั้นนำอสุจิเพียงเซลล์เดียวมาฉีดเข้าไปในเซลล์ไข่ได้แล้ว กระบวนการนี้เรียกว่า อิกซี่ (ICSI:Intracytoplasmic Sperm Injection) ซึ่งทำให้สามารถแน่ใจได้ว่าอสุจิเข้าไปผสมกับเซลล์ไข่แน่นอน นอกจากนี้ การทำกิ๊ฟ  (GIFT: Grmete Intra fallopian Transfer) ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาการมีบุตรยาก โดยการนำอสุจิและเซลล์ไข่ใส่เข้าไปในท่อนำไข่ทำให้เกิดการผสมตามธรรมชาติ

ภาพที่ 11-12 การผสมอสุจิเพียงเซลล์เดียวกับเซลล์ไข่ ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งของการทำอิ๊กซี่

 กิจกรรมที่ 11.3 วิธีการแก้ไขภาวะมีบุตรยาก 
              1.ให้นักเรียนศึกษา ค้นคว้า รวบรวมข้อมูลในเรื่อยต่อไปนี้
               -การถ่ายฝายตัวอ่อน (Embryo Transfer)
               -การผสมเทียม (Arificial Insemination)
              -การทำกิ๊ฟ(GIFT หรือ Gamete Intra Fallopian Transfer)
              -การทำซิ๊ฟ (ZIFT หรือ Zygote Intra Fallopian Transfer)
               -การโคลน (Cloning)
2.นำข้อมูลที่ได้มาเขียนรายงานในหัวข้อวิธีการทำ รวมทั้งข้อดีและข้อเสีย
3.นำข้อมูลมาอภิปรายในชั้นเรียนและร่วมกันอภิปรายถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี




อ้างอิง




วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

ชีววิทยา คืออะไร ??




ชีววิทยา คืออะไร ??




     ชีววิทยา (Biology) 
           คือ ศาสตร์แขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆอย่างมีเหตุและผล ซึ่งศึกษาทั้งในเรื่อง ด้านโครงสร้าง ด้านการทำงาน ด้านการเจริญเติบโต ด้านวิวัฒนาการ ด้านถิ่นกำเนิด ด้านอนุกรมวิธาน ด้านการกระจายพันธุ์ และด้านอื่นๆอีกที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต โดยจะใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาค้นคว้าอย่างมีเหตุมีผลในทุกแง่ทุกมุมของสิ่งมีชีวิตโดยละเอียด ซึ่งจะพึ่งพาการใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ และเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยในการศึกษาสิ่งมีชีวิตต่างๆคำว่า ชีววิทยา (Biology) เป็นคำที่มาจากภาษากรีก จากคำว่า “bios” ที่แปลว่า สิ่งมีชีวิต และ “logos” ที่แปลว่า วิชา หรือการศึกษาอย่างมีเหตุผล      
         เนื่องจากแต่ละเรื่องในเนื้อหาของชีววิทยามีกระบวนการและขั้นตอนการศึกษาที่ค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อนมีหลายขั้นตอน ชีววิทยาจึงแตกแขนงเป็นสาขาวิชาต่างๆอีกมากมาย เพื่อจะได้เน้นศึกษาเฉพาะเรื่องของชีววิทยา ทำให้ศึกษาในเรื่องนั้นๆได้ละเอียดและลึกมากยิ่งขึ้น        
          สิ่งมีชีวิตมีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างไปจากสิ่งไม่มีชีวิต ดังนี้ (Biology) สิ่งมีชีวิตสืบพันธุ์ได้ การสืบพันธุ์เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิต ที่จะให้ลูกหลานดำรงเผ่าพันธุ์ สืบเนื่องต่อไป การ สืบพันธุ์อาจจะสืบพันธุ์โดยอาศัยเพศ หรือโดยไม่อาศัยเพศก็ตาม สามารถถ่ายทอดลักษณะต่าง ๆ จากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลานที่เกิด ขึ้น หน่วยที่ควบคุมลักษณะของสิ่งมีชีวิต เรียกว่า ยีน (gene) ซึ่งอยู่บนโครโมโซมภายในนิวเคลียสของเซล ดังนั้น การสืบพันธุ์ เป็นกิจกรรมขั้นสุดยอดของสิ่งมีชีวิต ที่จะรักษาเผ่าพันธุ์ของตนเอง ให้ยั่งยืนและอยู่รอดในระบบนิเวศ        1. สิ่งมีชีวิตมีขบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตเรียกว่า ขบวนการเมตตาโบลิซึม (metabolism) ซึ่งก่อให้เกิดพลังงานและการสังเคราะห์สารต่าง ๆ เพื่อใช้ในการดำรงชีพ เช่นขบวนการหายใจระดับเซลล์ หรือ ขบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง หรือการสังเคราะห์พลังงาน และระบบการใช้พลังงานที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ยกเว้นเชื้อไวรัส ต้องอาศัยพลังงานจากเซลของสิ่งมีชีวิตอื่น สิ่งมีชีวิตต้องเจริญเติบโต การเจริญเติบโตต้องประกอบด้วยการ แบ่งเซลล์ การขยายขนาดของเซล และการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์        2. สิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวได้ การเคลื่อนไหวเกิดจากการใช้พลังงาน ภายในเซลของร่างกายของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด ไปกระตุ้น ให้กล้ามเนื้อหรือเนื้อเยื่อเกิดการทำงาน       3. สิ่งมีชีวิตตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ คือสามารถตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆที่มากระทบหรือกระตุ้นการตอบสนองเป็นพฤติกรรม ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมแต่ละแห่ง       4. สิ่งมีชีวิตสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ เมื่อสภาพสิ่งแวดล้อมรอบ ๆตัวของสิ่งมีชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงไป สิ่งมีชีวิตจะต้องมีการปรับตัวให้อยู่รอดในสภาพสิ่งแวดล้อมนั้น โดยมีการปรับตัว 3 ลักษณะ คือ การปรับโครงสร้างรูปร่างส่วน ประกอบของร่างกาย การปรับพฤติกรรม และการปรับกลไกการทำงานของร่างกายหรือการทำงานของเซลล์      5. สิ่งมีชีวิตต้องมีการจัดระบบการทำงานภายในเซลล์หรือในร่างกายอย่างมีระบบ เช่น ในเซลล์จะมีออร์แกแนลต่างๆทำหน้าที่ เสมือนอวัยวะของร่างกายของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างของร่างกายซับซ้อน ก็จะมีกลุ่มเซลล์ที่ทำหน้าที่ร่วมกัน เรียกว่า เนื้อเยื่อ (Tissue) กลุ่มของเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ร่วมกัน เรียกว่าอวัยวะ (Organ) อวัยวะชนิดเดียวกัน หรือต่างชนิดกันทำงานร่วมกัน เรียกว่าระบบ (System) ระบบหลายระบบทำงานร่วมกันจะเป็นร่างกาย (Body) เช่นระบบทางเดินอาหาร จะประกอบด้วยอวัยวะ ต่าง ๆ มากมาย เช่น ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับ ตับอ่อน ทวารหนัก จะเห็นว่า การทำงานของร่างกาย สิ่งมีชีวิต จะมีการจัดระบบตั้งแต่ระดับเซลล์ ระดับเนื้อเยื่อ ระดับอวัยวะ และระบบต่าง ๆ วิชา       
           ชีววิทยา จะศึกษาเฉพาะเรื่องราวของสิ่งมีชีวิต โดยใช้ขั้นตอนการศึกษา ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นกระบวนการศึกษา (Process) ที่นักชีววิทยาใช้ในการศึกษา เรื่องราวของสิ่งมีชีวิตตามขั้นตอน คือ การสังเกต การตั้งปัญหา การตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมติฐาน การแปลผลและการสรุปผลดังที่กล่าวมาแล้วสิ่งที่ได้มาจากกระบวนการศึกษาเกิดเป็นความรู้ (Knowlege) ซึ่งอาจจะประกอบด้วย ! ข้อมูล (Data) ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งและสิ่งที่ได้จากการสังเกตหรือรับรู้ ! ข้อเท็จจริง (Fact) สิ่งที่เป็นอยู่จริงตามธรรมชาติ ! ข้อสรุป (Conclusion) เป็นการสรุปหาความสัมพันธ์ของข้อมูลตามเหตุและผลต่อกัน ! กฎ (Law) เป็นความจริงหลักที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล ! ทฤษฎี (Theory) เป็นสมมติฐานที่ได้รับการพิสูจน์แล้วหลาย ๆ ครั้ง จนเป็นที่ยอมรับ ดังนั้นวิชาชีววิทยาจึงเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการศึกษาสิ่งมีชีวิต ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และความรู้ที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต ที่นักชีววิทยาได้รวบรวมบันทึกไว้ในรูปของข้อมูล ข้อเท็จจริง กฏ หลักเกณฑ์ ข้อสรุป และทฤษฎี เพื่อ ใช้อธิบายสภาพทางธรรมชาติ กระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิต โดยมีจุดประสงค์หลัก 2 ประการ คือ ! เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดตลอดจนเรื่องราวภายในตัวของมนุษย์เองด้วย ! เพื่อนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ และการแก้ปัญหาสภาพสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้มนุษย์ได้ดำรงชีพอยู่ อย่างราบรื่น เช่นนำมาใช้ทางการแพทย์การเกษตรการอุตสาหกรรมสิ่งแวดล้อม และ      
        เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) วิชาชีววิทยาประกอบด้วยแขนงวิชาต่าง ๆ มากมาย   โดยมีหลักการจำแนก 2 ประการ คือ   1.จำแนกตามธรรมชาติขิงสิ่งแวดล้อม   2.จำแนกตามวิธีการศึกษาของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ นอกจากนี้แล้วยังแบ่งเป็นแขนงอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น   1. โบราณชีวศาสตร์ (Palcontology) ศึกษาเกี่ยวกับซากเหลือของพืช-สัตว์โบราณ   2. ปราสิตวิทยา (Parasitology) ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่แย่งอาหารจากสิ่งมีชีวิตอื่น   3. พยาธิวิทยา (Pathology) ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติ อาหาร และสาเหตุของโรคต่าง ๆเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)   เทคโนโลยีชีวภาพ เป็นสาขาหนึ่งของการนำเอาความรู้ทางชีววิทยา มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์เฉพาะอย่างตามที่มนุษย์   ต้องการ เช่นด้านการเกษตร ด้านการแพทย์ และสาธารณสุข ด้านอุตสาหกรรม อาหาร เครื่องดื่ม ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม การนำความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตมาใช้ประโยชน์ ทำให้มนุษย์ได้รับประโยชน์ดังต่อไปนี้   1. ด้านการเกษตร   2. ด้านการแพทย์และสาธารณสุข   3. ด้านอาหารและเครื่องดื่ม   4. ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม 




อ้างอิง

https://www.youtube.com/watch?v=VEg_OuuI-F4
https://www.youtube.com/watch?v=URUJD5NEXC8
https://www.youtube.com/watch?v=BC-JWdKtAzU
http://doraemonmickey.blogspot.com/


ท่องเที่ยวภาคเหนือ




         พอใกล้ช่วงสิ้นปีแบบนี้เราก็จะนึกถึงอากาศเย็นๆ บรรยากาศและวิวสวยๆ ของที่เที่ยวทางภาคเหนือขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะเป็น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน น่าน พะเยา ฯ … ว่าแล้ววันนี้ก็ขอพาขึ้นเหนือไปสัมผัสลมหนาวกับ 10 ที่เที่ยวหน้าหนาวยอดฮิต ที่หนาวนี้ไม่ควรพลาด

        ดอยอินทนนท์, เชียงใหม่ (Doi Inthanon National Park, Chiang Mai)



            ฮิตทุกปี ฮิตตลอด ลมหนาวมาเมื่อไหร่ดอยอินทนนท์ไม่เคยขาดนักท่องเที่ยว เพราะเป็นจุดสูงสุดแดนสยามพูดได้ว่าถ้าเข้าช่วงธันวาคม-มกราคมก็หนาวแน่นอน ใครโชคดีไปเที่ยวตอนอากาศเย็นได้ที่ก็จะได้เห็นยอดน้ำค้างแข็งอีกด้วย ดอยอินทนนท์ไม่ได้มีเพียงป้ายสูงสุดแดนสยามเท่านั้นที่ทำให้ฮิต บริเวณนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งที่ต้องไป เช่น พระธาตุนภเมทนีดลและพระธาตุนภพลภูมิสิริ, น้ำตกวชิรธาร, น้ำตกแม่ยะ, น้ำตกสิริภูมิ, กิ่วแม่ปาน เป็นต้น

           ดอยอ่างขาง, เชียงใหม่ (Doi Ang Khang, Chiang Mai)




           ดอยอ่างขางฮิตตีคู่มากับดอยอินทนนท์เลยทีเดียว เพราะทั้งหวานทั้งเย็นจนหลายๆ คนยกให้เป็นสถานที่สุดโรแมนติกในช่วงหน้าหนาวกันเลย ในช่วงนี้แทบทั้งดอยจะอบอวลไปด้วยสีชมพูของดอกนางพญาเสือโคร่ง และถ้าเข้าไปที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขางก็จะเจอกับดอกไม้นานาชนิดที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างสวยงาม ถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมด หวานตาหวานใจแล้วก็ต่อด้วยหวานปาก บริเวณดอยอ่างขางมีไร่สตอเบอร์รี่หวานอร่อยและไร่ชาคุณภาพดีอีกด้วย ถ้าอยากหาซื้อสามารถเข้าไปเลือกซื้อได้เลยที่ด้านในโครงการหลวง

        อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง, เชียงใหม่ (Huai Nam Dang National Park, Chiang Mai)



           ไม่แปลกที่จะฮิตและมีคนมาเที่ยวกันล้นหลาม เพราะอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังเป็นหนึ่งในจุดชมวิวทะเลหมอกที่สวยอันดับต้นๆ ของไทยเลยทีเดียว แถมช่วงปลายฤดูหนาวยังมีดอกไม้หลากสีสันบานสวยอีกด้วย จุดชมวิวบริเวณห้วยน้ำดัง (ดอยกิ่วลม) เป็นจุดชมวิวที่สวยงามและมีชื่อเสียงมาก เพราะจากจุดนี้เราสามารถมองเห็นดอยเชียงดาวได้ ใกล้ๆ กันยังมีจุดท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น น้ำตกห้วยน้ำดัง โป่งน้ำร้อนท่าปาย น้ำตกแม่เย็น เป็นต้น ที่พักของอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังมีค่อนข้างจำกัด ดังนั้นหากใครจะมาเที่ยวสามารถเลือกนอนพักที่ปายได้ซึ่งมีที่พักให้เลือกหลากหลาย ตอนเช้ามืดค่อยขับรถมาชมวิว เพราะห้วยน้ำดังและปายอยู่ห่างกันไม่ได้มาก

        ภูชี้ฟ้า, เชียงราย (Phu Chi Fa, Chiang Rai)

 



       ภูชี้ฟ้าเป็นหนึ่งในจุดชมวิวทะเลหมอกยอดฮิตในเชียงรายที่จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง วิวสวยๆ ของทะเลหมอกสีขาวที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ภูเขาสลับซับซ้อนและอากาศหนาวๆ ที่ถ้าใครได้มาสัมผัสแล้วจะต้องอยากมาซ้ำอีกครั้งแน่นอน  ที่นี่ไม่ได้มีดีที่ทะเลหมอกเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งด้วยเช่นกัน

           พระตำหนักดอยตุงและสวนแม่ฟ้าหลวง, เชียงราย (Doi Tung Royal Villa, Chiang Rai)


       "พระตำหนักดอยตุง" หรือ "พระตำหนักสมเด็จย่า" ที่ปลูกสร้างขึ้นมาในกลิ่นอายล้านนาผสมผสานกับความเรียบง่าย ไฮไลท์ของดอยตุงคือสามารถเยี่ยมชมห้องบรรทมและห้องทรงงานได้ (แต่ห้ามถ่ายรูปนะ) อีกจุดคือบริเวณสวนแม่ฟ้าหลวงที่เต็มไปด้วยดอกไม้เมืองหนาวหลากสีสัน และยังมีร้านขายของที่ระลึก ผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวงอีกด้วย

           อุทยานแห่งชาติศรีน่าน, น่าน (Si Nan National Park, Nan)




         ที่อุทยานแห่งชาติศรีน่านมีจุดชมทะเลหมอกยามเช้าที่สวยงามมากๆ ถึงสองจุด คือที่ดอยผาชู้และดอยเสมอดาว ซึ่งดอยเสมอดาวนั้นเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวฮิตและมีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในน่าน ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของธรรมชาติทั้งในตอนเช้าที่มีทะเลหมอกขาวๆ และตอนกลางคืนที่สามารถมองเห็นดาวเต็มท้องฟ้าได้อย่างเจน

 อุทยานแห่งชาติขุนสถาน, น่าน (Khun Sathan National Park, Nan)



        อุทยานแห่งชาติขุนสถานในช่วงหน้าหนาวนั้นมีบรรยากาศดีและวิวสวยจนลืมเวลา นอกจากทะเลหมอกที่เป็นไฮไลท์หลักแล้ว ถ้าโอกาสดีคุณอาจได้เห็นต้นนางพญาเสือโคร่งผลิดอกสีชมพูตลอดสองข้างทางอีกด้วย บนอุทยานแห่งชาติขุนสถานมีบ้านพักและลานกางเต็นท์ให้บริการสำหรับคนที่อยากนอนค้างเสพบรรยากาศให้เต็มที่ ว่ากันว่าบ้านพักของอุทยานบนดอยแม่จอกนั้นมีวิวที่สวยมากๆ เพราะตั้งอยู่บนเนินเขา จึงสามารถมองเห็นวิวได้จากเตียงนอนเลยทีเดียว

 ปางอุ๋ง, แม่ฮ่องสอน (Pang Oung, Mae Hong Son)




          ช่วงหน้าหนาวปางอุ๋งจะแน่นไปด้วยผู้คน ทั้งคนที่มาตั้งเต็นท์นอนเก็บบรรยากาศและคนที่มาแวะชมธรรมชาติที่สวยสงบ ไฮไลท์เด็ดของปางอุ๋งที่ถ้ามาแล้วต้องเห็นให้ได้คือภาพของไอหมอกที่ลอยเลียบบนผิวน้ำขอบอกว่าสวยสุดๆ จะมีให้เห็นในช่วงเช้าเท่านั้น ยิ่งตอนพระอาทิตย์ขึ้นแสงแดดจะสะท้อนบนผิวน้ำเป็นสีทองสวยขึ้นไปอีก ใครอยากสัมผัสบรรยากาศแบบใกล้ๆ ก็นั่งแพชิลๆ ล่องไปในอ่างเก็บน้ำได้เลย เขามีให้บริการ

         ดอยแม่อูคอ, แม่ฮ่องสอน (Doi Mae U-Kho, Mae Hong Son)



        ฮิตที่ความสวยไม่เหมือนใครของทุ่งดอกบัวตองที่ใหญ่ที่สุดในไทย ขึ้นปกคลุมยอดเขาจนเหลืองอร่ามไปทั่ว ทุ่งดอกบัวตองจะบานสะพรั่งในช่วงที่ลมหนาวเริ่มมาเยือนคือเดือนฤศจิกายน – ธันวาคม ของทุกปี ถ้าขึ้นมาที่จุดชมวิวดอยแม่อูคอจะได้เห็นทิวทัศน์ของทุ่งดอกบัวตองแบบ 360 องศาเลยทีเดียว

ดอยผาตั้ง, เชียงราย (Doi Pha Tang, Chiang Rai)



       อีกหนึ่งสถานที่เที่ยวฮิตของจังหวัดเชียงราย ดอยผาตั้งเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกยามเช้าที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง ที่จุดชมวิวช่องผาบ่องยังสามารถมองเห็นแม่น้ำโขงและเห็นยอดภูชี้ฟ้าที่อยู่ห่างออกไปราว 25 กิโลเมตรได้อีกด้วย ในช่วงเดือนธันวาคมและมกราคมนอกจากจะได้สัมผัสอากาศเย็นๆ แล้วที่บริเวณยอดดอยจะได้เห็นดอกนางพญาเสือโคร่งสีชมพูบานสะพรั่งไปทั่ว




อ้างอิง

https://www.youtube.com/watch?v=6vWO1GdtSfg
https://www.youtube.com/watch?v=zI5Jgqanzho
https://www.youtube.com/watch?v=s3gA2XllHbo
http://www.govivigo.com/travel-blog/58-10-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7



การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและระบบสืบพันธุ์

การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและระบบสืบพันธุ์  มวนเป็นแมลงที่พบทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย เมื่อโตเต็มวัยจะผสมพันธุ์และว...